หน้าแรก บทความ

สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน: รู้ให้ครบก่อนเซ็นจริง

สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน: รู้ให้ครบก่อนเซ็นจริง

สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน ทั้งรายละเอียดสำคัญที่ต้องมีในสัญญา ความแตกต่างระหว่างสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดิน รวมถึงคำแนะนำก่อนทำสัญญา

โพสต์เมื่อ : วันอาทิตย์ ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน: รู้ให้ครบก่อนเซ็นจริง

สัญญาจะซื้อจะขายบ้าน คืออะไร

สัญญาจะซื้อจะขายบ้านคือ เอกสารที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายตกลงและเซ็นยืนยันว่าทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะทำการซื้อขายบ้านในอนาคต โดยมีการกำหนดเงื่อนไขและข้อตกลงต่าง ๆ อย่างชัดเจน การทำสัญญาจะซื้อจะขายนี้เป็นการรับประกันให้ทั้งสองฝ่ายว่าการซื้อขายจะเกิดขึ้นจริงในอนาคต โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงโดยพลการ

เนื้อหาในสัญญาจะซื้อจะขายบ้านมักประกอบด้วย:

  1. รายละเอียดของบ้าน: รวมถึงที่ตั้ง, ขนาด, ลักษณะ, และคุณสมบัติอื่น ๆ ของบ้าน เช่น จำนวนห้องนอน ห้องน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
  2. ราคาที่ตกลงกัน: ราคาบ้านที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันว่าจะซื้อขาย
  3. เงินมัดจำ: จำนวนเงินที่ผู้ซื้อจะต้องชำระให้กับผู้ขายเพื่อยืนยันความจริงใจในการซื้อขาย
  4. วันและเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์: วันที่และเวลาที่จะทำการโอนกรรมสิทธิ์บ้านจากผู้ขายให้กับผู้ซื้อ
  5. เงื่อนไขอื่น ๆ: เช่น การตรวจสอบบ้านก่อนการโอน, ความรับผิดชอบในการซ่อมแซม และการตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

สัญญาจะซื้อจะขายบ้านจึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้ทั้งสองฝ่าย และป้องกันการเกิดข้อพิพาทในอนาคต

สัญญาขาย คืออะไร

สัญญาขายคือ สัญญาที่ทำเมื่อผู้ขายต้องการขายทรัพย์สินหรือสิ่งของให้กับผู้ซื้อ โดยที่ผู้ซื้อยอมรับเงื่อนไขและราคาที่กำหนดไว้ สัญญาขายมักใช้ในการซื้อขายที่ทำในเวลานั้น ๆ และไม่มีการผ่อนหรือเลื่อนวันโอนกรรมสิทธิ์

ในกรณีของบ้าน สัญญาขายจะมีรายละเอียดเช่นเดียวกับสัญญาจะซื้อจะขาย แต่จะแตกต่างตรงที่การทำสัญญาขายจะเป็นการโอนกรรมสิทธิ์และการชำระเงินทันทีเมื่อทำสัญญาเสร็จสิ้น

ตัวอย่างรายละเอียดในสัญญาขาย:

  1. ข้อมูลของผู้ซื้อและผู้ขาย: ชื่อ, ที่อยู่, และข้อมูลติดต่อของทั้งสองฝ่าย
  2. รายละเอียดของบ้าน: รวมถึงที่ตั้ง, ขนาด, ลักษณะ, และคุณสมบัติอื่น ๆ ของบ้าน
  3. ราคาที่ตกลงกัน: ราคาบ้านที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกัน
  4. การชำระเงิน: วิธีการและเงื่อนไขในการชำระเงิน รวมถึงการชำระเงินทั้งหมดในการทำสัญญา
  5. การโอนกรรมสิทธิ์: วันที่และเวลาที่จะทำการโอนกรรมสิทธิ์บ้านจากผู้ขายให้กับผู้ซื้อ
  6. เงื่อนไขอื่น ๆ: เช่น การตรวจสอบบ้านก่อนการโอน, ความรับผิดชอบในการซ่อมแซม และการตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ

สัญญาจะซื้อจะขาย vs สัญญาซื้อขายที่ดิน ต่างกันอย่างไร

สัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดิน มีความแตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียดและขั้นตอนการทำสัญญา ดังนี้:

  1. สัญญาจะซื้อจะขาย:

    • เป็นการตกลงล่วงหน้าในการซื้อขายบ้านหรือที่ดินในอนาคต
    • มักจะมีการกำหนดเงื่อนไขและข้อตกลงที่ต้องปฏิบัติตามก่อนการทำสัญญาขายจริง
    • มีการกำหนดวันและเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์ในอนาคต
    • มีการวางเงินมัดจำเพื่อยืนยันการตกลงกัน
  2. สัญญาซื้อขายที่ดิน:

    • เป็นการทำสัญญาเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือบ้านทันทีในเวลานั้น
    • ผู้ซื้อและผู้ขายต้องการทำการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ในวันที่ทำสัญญา
    • ไม่มีการวางเงินมัดจำ แต่เป็นการชำระเงินทั้งหมดในการทำสัญญา

ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้สัญญาทั้งสองประเภทมีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่ต่างกัน การเลือกใช้สัญญาประเภทใดจึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความต้องการของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

รายละเอียดสำคัญในสัญญาจะซื้อจะขายบ้าน ต้องมีอะไรบ้าง

การทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านนั้นต้องมีรายละเอียดสำคัญหลายประการเพื่อให้เกิดความชัดเจนและป้องกันการเกิดข้อพิพาทในอนาคต รายละเอียดสำคัญที่ควรมีในสัญญาจะซื้อจะขายบ้าน ได้แก่:

  1. ข้อมูลของผู้ซื้อและผู้ขาย: ชื่อ, ที่อยู่, และข้อมูลติดต่อของทั้งสองฝ่าย
  2. รายละเอียดของบ้านที่ซื้อขาย: รวมถึงที่ตั้ง, ขนาด, ลักษณะ, และคุณสมบัติอื่น ๆ ของบ้าน เช่น จำนวนห้องนอน ห้องน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
  3. ราคาที่ตกลงกัน: ราคาบ้านที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันว่าจะซื้อขาย
  4. เงินมัดจำ: จำนวนเงินที่ผู้ซื้อจะต้องชำระให้กับผู้ขายเพื่อยืนยันความจริงใจในการซื้อขาย
  5. วิธีการชำระเงิน: วิธีการและเงื่อนไขในการชำระเงิน รวมถึงการชำระเงินทั้งหมดในการทำสัญญา
  6. วันและเวลาในการโอนกรรมสิทธิ์: วันที่และเวลาที่จะทำการโอนกรรมสิทธิ์บ้านจากผู้ขายให้กับผู้ซื้อ
  7. เงื่อนไขในการโอนกรรมสิทธิ์: ข้อตกลงและเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามก่อนการโอนกรรมสิทธิ์ เช่น การตรวจสอบบ้านก่อนการโอน, ความรับผิดชอบในการซ่อมแซม และการตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
  8. ข้อตกลงเกี่ยวกับการรับประกัน: ข้อตกลงเกี่ยวกับการรับประกันบ้านหลังการขาย เช่น การรับประกันโครงสร้าง, การรับประกันระบบไฟฟ้า และการรับประกันระบบประปา
  9. การตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ: การตกลงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์, ค่าธรรมเนียม, และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

การทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านที่มีรายละเอียดครบถ้วนและชัดเจน จะช่วยให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่นและป้องกันการเกิดข้อพิพาทในอนาคต


(ตัวอย่างสัญญาซื้อขายที่ดิน)

คำแนะนำก่อนทำและเซ็นสัญญาจะซื้อจะขายบ้าน

ก่อนทำและเซ็นสัญญาจะซื้อจะขายบ้าน ควรมีการพิจารณาและตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าการทำสัญญาเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรม ทั้งนี้ควรมีการพิจารณาเรื่องดังต่อไปนี้:

  1. ตรวจสอบเอกสารและความถูกต้องของข้อมูล: ตรวจสอบข้อมูลในสัญญาให้ครบถ้วนและถูกต้อง เช่น ชื่อผู้ซื้อและผู้ขาย, รายละเอียดของบ้าน, ราคาที่ตกลงกัน, และเงื่อนไขต่าง ๆ
  2. อ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขในสัญญาทุกข้อ: อ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไขในสัญญาอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเข้าใจและยอมรับเงื่อนไขต่าง ๆ
  3. ขอคำปรึกษาจากทนายหรือผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจในรายละเอียดหรือเงื่อนไขในสัญญา ควรขอคำปรึกษาจากทนายหรือผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้คำแนะนำและช่วยตรวจสอบความถูกต้องของสัญญา
  4. หลีกเลี่ยงการเซ็นสัญญาในกรณีที่ไม่แน่ใจในรายละเอียดหรือเงื่อนไข: หากไม่แน่ใจในรายละเอียดหรือเงื่อนไขในสัญญา ควรหลีกเลี่ยงการเซ็นสัญญาจนกว่าจะได้ตรวจสอบและทำความเข้าใจอย่างชัดเจน
  5. ตรวจสอบสภาพบ้านก่อนการทำสัญญา: ควรตรวจสอบสภาพบ้านอย่างละเอียดก่อนการทำสัญญา เพื่อให้แน่ใจว่าบ้านอยู่ในสภาพที่ดีและเป็นไปตามที่ตกลงกัน
  6. ตรวจสอบสิทธิ์การเป็นเจ้าของบ้านของผู้ขาย: ตรวจสอบสิทธิ์การเป็นเจ้าของบ้านของผู้ขายเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ขายมีสิทธิ์ในการขายบ้านตามกฎหมาย
  7. ตรวจสอบประวัติของบ้าน: ตรวจสอบประวัติของบ้าน เช่น ประวัติการขาย, การซ่อมแซม, และการปรับปรุงบ้าน เพื่อให้แน่ใจว่าบ้านไม่มีปัญหาหรือข้อบกพร่องใด ๆ

การทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ควรมีการตรวจสอบและทำความเข้าใจในทุกขั้นตอนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต