โดย s-siwa s-siwa | ต.ค. 17, 2019 | ข่าวอสังหาริมทรัพย์
การเคหะฯ เปิดจองโครงการฯ ลำลูกกา คลอง 2 บนทำเลใกล้รถไฟฟ้า กับ 3 แบบบ้าน ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ มาพร้อมเงื่อนไขผ่อนสบายๆ ขอสินเชื่อผ่านการเคหะฯ ได้เลย มีทั้งห้องชุด ไปถึง ทาวเฮาส์ –บ้านแฝด ผ่อนเริ่มต้น 4 พันนิดๆ ไปจนถึงหมื่นกลางๆ
การเคหะแห่งชาติ เดินหน้าเปิดจองโครงการ The NHA @ Lumlukka Klong 2 ชูทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ด้วย 3 แบบบ้าน ทั้งอาคารชุด บ้านแฝดทรงอิสระ และทาวน์เฮ้าส์ ด้วยแนวคิด Perfect Your Life ความลงตัวของชีวิต การเดินทาง งาน และครอบครัว ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ระหว่างวันที่ 17 – 23 ตุลาคม 2562 ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต

นางสาวสุดใจ สมัครัตน์ ผู้ช่วยผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า โครงการ The NHA @ Lumlukka Klong 2 เป็นอีกหนึ่งโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อตอบสนองความต้องการด้านที่อยู่อาศัยแก่ประชาชนย่านรังสิต–ลำลูกกา เน้นบ้านคุณภาพดี ทำเลเหมาะสมเพื่อตอบรับการเดินทางที่สะดวกสบาย ในราคาที่สามารถรับภาระได้ เพื่อให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยที่ดี ได้มาตรฐาน และลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และสร้างความมั่นคงยั่งยืนในชีวิต

นางสาวสุดใจ สมัครัตน์ ผู้ช่วยผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ
โดยโครงการจัดสร้างที่อยู่อาศัยใน 3 รูปแบบ ประกอบด้วย อาคารชุด 4 ชั้น 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พร้อมส่วนรับแขก ส่วนรับประทานอาหาร และ ระเบียง พื้นที่ใช้สอยประมาณ 27 ตร.ม. (ผ่อนเริ่มต้นราว 4 พันกว่าบาท** ข้อมูลสอบถามการเคหะฯ)
โครงการบ้านแฝด 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน เนื้อที่ประมาณ 35 ตร.ว.
โครงการทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องทำงาน และพื้นที่จอดรถ 2 คัน เนื้อที่ประมาณ 20 ตร.ว. (ผ่อนเริ่มต้นราว หมื่นกว่าบาท ** ข้อมูลสอบถามการเคหะฯ)
โครงการตั้งอยู่ที่ถนนเสมา – ฟ้าคราม ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เป็นทำเลที่มีศักยภาพ สะดวกสบายในการเดินทาง รูปแบบอาคารที่ทันสมัยตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้การเคหะฯ มั่นใจว่าด้วยศักยภาพของทำเลแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้มที่โดดเด่น และราคาต่อตารางเมตรที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับภาคเอกชน กอปรกับระบบสาธารณูปโภค ที่ตอบสนองทุกรูปแบบการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (ลำลูกกา คลอง 2) สำเร็จได้

เหนืออื่นใดโครงการฯ นี้นับเป็นโครงการโมเดลของการเคหะฯ ในอนาคต ที่ตั้งอยู่บนทำเลที่รายล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคครบครัน อาทิ ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต สนามบินดอนเมือง เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับแนวคิด Perfect Your Life ความลงตัวของชีวิต การเดินทาง งาน และครอบครัวแล้ว ภายในโครงการฯ ยังได้มีการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยส่วนกลาง ภายใต้การบริหารของชุมชน ด้วยห้องฟิตเนส และสระว่ายน้ำภายในโครงการ เพื่อสุขภาพของชุมชน
ภายในงานนอกจากเปิดให้จองโครงการ The NHA @ Lumlukka Klong 2 แล้ว ยังเปิดให้จองโครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1 ซึ่งเป็นโครงการที่ออกแบบสำหรับผู้สูงอายุที่การออกแบบในลักษณะ Universal Design และมีโครงการบ้านพร้อมอยู่ในโซนจังหวัดปทุมธานี อาทิ โครงการฯ ตลาดไท (เทพกุญชร 34), รังสิต (10/1), เสมาฟ้าคราม, สี่แยกปทุมวิไล และบางคูวัด ให้ประชาชนได้เลือกจับจองเป็นเจ้าของได้แล้วในวันนี้ โดยสามารถเลือกใช้บริการสินเชื่อผ่านการเคหะฯได้” ผู้ช่วยผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ

สำหรับผู้ที่สนใจจับจองเป็นเจ้าของโครงการ The NHA @ Lumlukka Klong 2 สามารถเข้ามาจองได้ภายในงานฯ ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ตั้งแต่วันที่ 17 – 23 ตุลาคม โดยผู้ที่จองภายในงานจะได้รับโปรโมชั่นฟรีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 091 047 1276 หรือ Call Center 1615
ที่มาข่าว-ภาพ www.siambusinessnews.com
โดย s-siwa s-siwa | ส.ค. 9, 2019 | ข่าวสารและสาระน่ารู้, ข่าวอสังหาริมทรัพย์
ธุรกิจรับสร้างบ้านเล็งรัฐบาลใหม่กระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค หลังทิศทางการเมืองมีความชัดเจน ล่าสุดตัวเลขตลาดรวมรับสร้างบ้านครึ่งปีแรกเติบโตอย่างต่อเนื่อง มั่นใจปีนี้เข้าเป้าหมายที่วางไว้ เผยเตรียมจัดงาน “รับสร้างบ้าน และวัสดุ” 29 สิงหาคม – 1 กันยายน ที่อิมแพค เมืองทองธานี ดึงบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำเข้าร่วม พร้อมอัดโปรโมชันพิเศษก่อนปรับราคา มั่นใจยอดขายในงานไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท
นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปีนี้ น่าจะได้รับผลดีเพิ่มขึ้น หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่กำลังคิดจะปลูกสร้างบ้านมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 1 พบว่าการขยายตัวของตลาดยังมีอย่างต่อเนื่อง แต่ในไตรมาสที่ 2 ตลาดมีการชะลอตัวลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และภาวะของเศรษฐกิจโลก แต่ผลจากที่ไตรมาสที่ 1 ที่ตลาดขยายตัวและมียอดขายที่ค่อนข้างดี ทำให้ภาพรวมในครึ่งปีแรกไม่มีผลกระทบมากนัก
ประกอบกับในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะตัดสินใจปลูกสร้างบ้านในช่วงนี้เป็นหลักอยู่แล้ว ซึ่งน่าจะทำให้มูลค่าการขายของแต่ละบริษัท รวมถึงภาพรวมของตลาดเองจะมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยจากข้อมูลของสมาคมฯ พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มูลค่าตลาดรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าตลาดรวมรับสร้างบ้านในปี 2562 คาดว่าน่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน
“ภาพรวมครึ่งปีแรกในไตรมาสที่ 2 ถือว่าตลาดได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมพอสมควร โดยเฉพาะบ้านระดับราคา 2.5 – 5 ล้านบาทมีการขยายตัวที่น้อย ขณะที่บ้านระดับราคา 5 -10ล้านบาท และบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ยังถือว่าเติบโตได้ค่อนข้างดี เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก คาดว่าในครึ่งปีหลังตลาดน่าจะเติบโตได้ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีความชัดเจน ผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจและจะเริ่มกลับเข้ามาปลูกสร้างบ้านมากขึ้น และเรายังคาดว่าหลังจากนี้รัฐบาลน่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจนี้ถือเป็นกลไกหลักสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในภาพรวมด้วยเช่นกัน”
เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ทางสมาคมฯ ได้ทำการจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder Expo 2019” ขึ้นในระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม – 1 กันยายน 2562 ณ อิมแพค ฮอลล์ 6 เมืองทองธานี โดยภายในงาน จะเป็นการรวบรวมบริษัทรับสร้างบ้านระดับชั้นนำมาไว้ในงาน พร้อมด้วยแบบบ้านจากบริษัทต่าง ๆ มากกว่า 1,000 แบบ และภายในงานยังมีบ้านในทุกระดับราคาให้ผู้บริโภคได้เลือก ตั้งแต่ 1 – 100 ล้านบาทขึ้นไป และยังมีผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านอีกมากมาย โดยในปีนี้ทางสมาคมฯ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของนวัตกรรมใหม่ ๆ และการให้ความใส่ใจในด้านของสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ด้านนายวรวุฒิ กาญจนกูล เลขาธิการ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า งานนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้บริโภคที่จะมีโอกาสได้บ้านระดับคุณภาพในราคาพิเศษเจริง ๆ โดยหลังจากนี้ คาดว่าราคาบ้านน่าจะมีการปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอน หลังราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ โดยภายงานนอกจากจะมีโปรโมชันพิเศษจากบริษัทรับสร้างบ้านที่ร่วมออกงานแล้ว สมาคมฯ ได้จัดเตรียมโปรโมชันพิเศษภายในงานอีกด้วยโดยผู้ที่ลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้าผ่าน www.hba.th.org และจองปลูกสร้างบ้านจะได้รับส่วนลดพิเศษเพิ่มสูงสุด 10,000 บาท และยังมีสิทธิ์ร่วมลุ้นรางวัลทองคำมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาทอีกด้วย
ขณะเดียวกันการจัดงานในครั้งนี้ ทางสมาคมฯ ได้จัดงานพร้อมกันกับงาน NPA Grand Sale and Home Loan 2019 ซึ่งเป็นงานที่รวมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยไว้มากที่สุดจากธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ พร้อมด้วยสินทรัพย์รอการขายหรือ NPA ซึ่งผู้ที่สนใจปลูกสร้างบ้านสามารถที่จะขอสินเชื่อภายใต้เงื่อนไขสุดพิเศษได้อีกด้วย หรือ ผู้ที่สนใจหาที่ดินเปล่าเพื่อปลูกสร้างบ้านก็สามารถเข้ามาเดินชมงานได้ด้วยเช่นกัน โดยงานรับสร้างบ้าน และวัสดุ Home Builder Expo 2019 ทางสมาคมฯ คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายในงานได้กว่า 3,000 ล้านบาท
โดย s-siwa s-siwa | ก.ค. 26, 2018 | ข่าวอสังหาริมทรัพย์
หลังจากที่ ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) เสร็จสิ้นภารกิจจากการลงพื้นที่สำรวจโพรงตามแนวเขาถ้ำหลวง จ.เชียงราย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาลุยจัดงานใหญ่งานยักษ์ระดับอาเซียน “งานวิศวกรรมแห่งชาติ 2561” (National Engineering 2018) อย่างเต็มสูบ โดยวางเป้าหมายต้องการให้เป็นงานสัมมนาวิชาการ และแสดงผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีนวัตกรรมวิศวกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของไทยอีกครั้ง พร้อมประกาศปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Engineering for Society” หวังยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชาชนสู่สมาร์ทเนชั่น ให้เข้ากระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งภาคธุรกิจ และภาคประชาชน ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงดิจิทัลทรานฟอร์มเมชั่น (Digital Transformation) โดยภายในงานเตรียมพบกับเวทีเสวนาอัพเดทองค์ความรู้มาตรฐานวิศวกรรม, เทรนด์เทคโนโลยีวิศวกรรมระดับโลก จำนวนกว่า 72 หัวข้อ พร้อมชมนวัตกรรมวิศวกรรมแห่งอนาคตมากมาย ตั้งเป้างานนี้จะดึงผู้ที่สนใจเทคโนโลยีวิศวกรรมทั่วทั้งอาเซียนเข้ารวมงานได้กว่า 25,000 คน โดยงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2561 จะจัดขึ้นในวันที่ 1 – 3 พฤศจิกายนนี้ ณ อิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี….ผู้ประกอบการท่านใดสนใจร่วมโชว์นวัตกรรมในงานเพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศสู่สมาร์ทซิตี้ สมาร์ทเนชั่นไปด้วยกันสามารถติดต่อเข้าร่วมงานได้ที่ www.nationalengineering18.com หรือ facebook.com/NationalEngineeringByEIT โทรศัพท์ 0-2184-4600-9
โดย s-siwa s-siwa | ก.ค. 24, 2018 | ข่าวสารและสาระน่ารู้, ข่าวอสังหาริมทรัพย์
ธ.อาคารสงเคราะห์เผยผลสำรวจที่ดิน 5 ทำเลที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นมากสุด มีที่อีกไหนบ้างไปเช็คเลย ..
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทำการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม โดยกำหนดให้ปี 2555 เป็นปีฐาน และจัดทำดัชนีเป็นรายไตรมาส
สำหรับ 5 อันดับทำเลที่มีการปรับราคาของที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในไตรมาส 2 ปี 2561 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2560 ได้แก่
1. เขตพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 0
2.เขตจังหวัดนครปฐมมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.1
3. เขตราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทองมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ38.2
4. เขตจังหวัดสมุทรสาครมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.4
5. เขตกรุงเทพฯ ชั้นใน มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.1
ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าทำเลดังกล่าวข้างต้นมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาจากไตรมาสก่อนหน้านี้สะท้อนให้เห็นราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นในเขตเมืองชั้นในได้ส่งผลให้เกิดการขยายตัวตามความต้องการที่ดินพื้นที่ชานเมือง ซึ่งส่งผลต่อการปรับราคาขึ้นของที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในเขตชานเมืองด้วย
เมื่อแยกตามทำเลเฉพาะที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่านพบว่า 5 อันดับแรกที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดได้แก่
1. BTS สายสุขุมวิทมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 26.8
2. สายสีส้ม (ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.5
3. สายสีแดงเข้ม (ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย) มีปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.4
4. สายสีน้ำเงิน(ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ-หัวลำโพง-บางแค)มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.3
5. BTS สายสีลมมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.2
ซึ่งเป็นที่สังเกตว่า ทำเลในพื้นที่ดังกล่าวข้างต้นมีการปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ และเพื่อพักอาศัยใหม่ในพื้นที่ อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวยังต้องพิจารณาจากองค์ประกอบอื่นๆ ร่วมด้วย การใช้ข้อมูลดังกล่าวจึงต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ
ภาพประกอบข่าวจากแฟ้มข่าว
เครดิตข่าว และภาพ จาก http://www.siambusinessnews.com
โดย s-siwa s-siwa | เม.ย. 20, 2018 | ข่าวอสังหาริมทรัพย์
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อรับฟังความคิดเห็นในการจัดทำกฎหมายลำดับรองเพื่อกำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ ที่ออกตามมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 หลังจากที่ผ่านมากรมการจัดหางานได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาแล้วจำนวน 2 ครั้ง โดยในครั้งที่ 1 ได้จัดทำแบบสอบถามความคิดเห็นถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ หน่วยงานราชการ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา สภาวิชาชีพ สมาคมหรือสมาพันธ์ ผู้ประกอบการค้า รวมจำนวน 145 หน่วยงาน สรุปผลความคิดเห็น 1. งานที่ควรยกเลิกเป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำมากที่สุด ได้แก่ งานก่ออิฐ งานช่างไม้ หรืองานก่อสร้างอื่น 2. ขอให้แก้ไขชื่องานงานหรือลักษณะงานในอาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำเพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ได้แก่ งานบัญชี งานนายหน้า หรืองานตัวแทน งานวิศวกรรม สาขาวิศวกรรมโยธา งานให้บริการทางกฎหมายหรืออรรถคดี 3. ขอให้เพิ่มงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ เช่น งานที่เกี่ยวกับความเป็นไทย หรือวัฒนธรรมของไทย รวมถึงกรณีคนต่างด้าวเป็นเจ้าของกิจการหรือนายจ้าง เป็นต้น

นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน
ส่วนการสำรวจครั้งที่ 2 ได้จัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นการจัดทำกฎหมายลำดับรองเกี่ยวกับการกำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ โดยเชิญผู้แทนหน่วยงานราชการ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาวิชาชีพ สมาคมหรือสมาพันธ์ ผู้ประกอบการค้า องค์กรนายจ้างและลูกจ้าง สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไรและสื่อมวลชน จำนวนทั้งสิ้น 172 คน โดยสรุปผลความคิดเห็นได้ดังนี้ 1. ขอให้ยกเลิกงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ ได้แก่ งานกรรมกร งานก่อสร้าง งานก่ออิฐ งานช่างไม้ งานผลิตสินค้าในกิจการอุตสาหกรรม ซึ่งไม่ใช้ทักษะฝีมือขั้นสูง เช่นงานทำรองเท้า งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย เป็นต้น และ งานขายของหน้าร้าน และควรกำหนดเงื่อนไขเพื่อไม่ให้คนต่างด้าวทำงานดังกล่าวโดยไม่มีนายจ้างหรือเจ้าของกิจการในการทำงานนั้นไว้ด้วย 2. ขอให้กำหนดงานที่ส่งเสริมภูมิปัญญาไทยและเอกลักษณ์ไทย เช่น งานแกะสลักไม้ งานทำเครื่องเขิน งานทำเครื่องดนตรีไทย งานทำเครื่องถม เครื่องทอง เครื่องเงิน หรือเครื่องนาก งานมัคคุเทศก์หรืองานจัดนำเที่ยว เป็นต้น เป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ แต่ควรมีข้อยกเว้นให้คนต่างด้าวสามารถทำได้ ถ้าเป็นลูกจ้างหรือพนักงานในกิจการดังกล่าว และไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับการส่งเสริมภูมิปัญญาไทยและเอกลักษณ์ไทย 3. งานในวิชาชีพ เช่น วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี งานให้บริการทางกฎหมาย หรืออรรถคดี เป็นต้น ยังคงห้ามคนต่างด้าวทำ 4. งานที่ควรห้ามคนต่างด้าวทำเพิ่มเติม ได้แก่ งานนวดไทย งานรักษาความปลอดภัย และงานนายแบบหรือนางแบบที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

จากการพิจารณารับฟังความคิดเห็นที่ผ่านมา กรมการจัดหางานเห็นว่าความคิดเห็นส่วนใหญ่ต้องการให้ยกเลิกงานต่อไปนี้ คือ 1. งานกรรมกร 2. งานกสิกรรม งานเลี้ยงสัตว์ งานป่าไม้ หรืองานประมง 3. งานก่ออิฐ งานช่างไม้และงานก่อสร้างอื่น เป็นงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ ซึ่งคนไทยมีการศึกษาสูงขึ้น ทำให้ขาดแคลนแรงงานไทยทำงานดังกล่าว ส่วนงานขายของหน้าร้าน และงานที่ต้องการแรงงานจำนวนมากในภาคการผลิตอุตสาหกรรม เช่น งานทำที่นอน งานทำมีด งานทำรองเท้า งานทำหมวก งานประดิษฐ์เครื่องแต่งกาย เป็นต้น ซึ่งไม่ต้องใช้การฝึกอบรมความรู้และไม่ใช่งานที่แสดงถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยแต่อย่างใด กรมการจัดหางานยังเห็นว่าคนไทยยังสามารถทำงานหรือประกอบอาชีพได้ จึงเห็นว่ายังมีประเด็นที่ควรรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม เพื่อให้การจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในมาตรา 7 เป็นไปอย่างรอบคอบ และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทย

ทั้งนี้ความคิดเห็นจากผู้ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวในวันนี้ จะได้นำไปประกอบการพิจารณากำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานได้พิจารณาก่อนจัดทำเป็นประกาศกระทรวงแรงงานต่อไป
เครดิตภาพและข่าวจาก http://www.siambusinessnews.com
โดย s-siwa s-siwa | เม.ย. 3, 2018 | ข่าวอสังหาริมทรัพย์
3 แบงค์รัฐร่วมอัดฉีดสินเชื่อหลายโปรแกรมสนใจไปดูรายละเอียด โดยมีเรื่อของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในโครงการรสร้างบ้านสร้างอาชีพ และสินเชื่ออื่นๆ อีกหลากหลายรูปแบบ
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เป็นประธานลงนามระหว่างผู้บริหาร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อความร่วมมือ “โครงการสร้างบ้านสร้างอาชีพ” เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสินเชื่อที่อยู่อาศัยในระบบได้ ด้วยการนำลูกค้า ธอส. มีบ้านอาศัยอยู่แล้ว แต่ต้องการสร้างอาชีพ สามารถขอสินเชื่อจากเอสเอ็มอีแบงก์ โดยมี บสย.ค้ำประกันสินเชื่อ ส่วนลูกค้า ธพว. และบสย. เมื่อประกอบอาชีพ กิจการเติบโตมีอาชีพมั่นคง ต้องการสร้าง ขยาย หรือต่อเติมที่อยู่อาศัย รวมถึงต้องการเป็นผู้ประกอบการแฟลต/อพาร์ทเม้นท์ หรือทำโครงการจัดสรร สามารถขอสินเชื่อกับ ธอส.ได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ นอกจากนี้ยังร่วมกันส่งเสริมพัฒนาทักษะ เพิ่มพูนความรู้ สร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพ และสร้างรายได้ในท้องถิ่นให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เริ่มโครงการตั้งแต่ 3 เม.ย. – 28 ธ.ค.61
ด้านนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ธอส.พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ทั้งบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลที่เป็นลูกค้าของ ธพว. และ บสย. ซึ่งต้องการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ ขอสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการแฟลต/อพาร์ทเม้นท์ หรือขอสินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) สามารถเลือกใช้สินเชื่อของ ธอส. รองรับนโยบาย “คนไทยมีบ้าน” พร้อมเปิดให้ยื่นกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 28 ธันวาคม 2561 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด เช่น โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ วงเเงิน 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3.00% ต่อปี คงที่นาน 4 ปีแรก ปีที่ 5 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ หากกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม และไถ่ถอนจำนองที่อยู่อาศัย สำหรับลูกค้ารายย่อยรายได้สุทธิไม่เกิน 25,000 บาท วงเงินกู้ต่อราย ไม่เกิน 2 ล้านบาท

นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) กล่าวว่า เอสเอ็มอีแบงก์ พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้า ธอส. ที่ต้องการปสร้างอาชีพ เพื่อใช้บ้านใอยู่อาศัย ค้ำประกัน เพื่อให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว ดอกเบี้ยร้อยละ 3 โดยใช้ บสย. ค้ำประกันฟรี 4 ปีแรก เน้นกลุ่มกลุ่มท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง เกษตรแปรรูป ที่อาศัยอยู่ในชุมชนท่องเที่ยว สามารถขอสินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 1% ปลอดชำระเงินต้น 3 ปีแรก เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีปัญหา ทางการเงินสามารถกู้ และสินเชื่อสร้างอาชีพวัยเก๋า ซึ่งผ่อนปรนเกณฑ์ให้ผู้สูงอายุเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้นตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป จนถึง 75 ปี เป็นต้น
ขณะที่นางนิภารัตน์ พิสิฐพิทยเสรี รองผู้จัดการทั่วไป สายงานบริหารทั่วไป รักษาการแทนผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นลูกค้า ธพว. ที่ต้องการสินเชื่อบ้าน และลูกค้าสินเชื่อบ้านของ ธอส. สามารถเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อจาก 2 สถาบันการเงินดังกล่าว โดยยังมี บสย. เข้าไปช่วยเติมเต็มผู้ประกอบการที่ต้องการสินเชื่อธุรกิจ และขอสินเชื่อจาก ธพว. ด้วย โดยขณะนี้ บสย. มีโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (PGS 6) ปรับปรุงใหม่ วงเงินสนับสนุนอีกกว่า 30,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 4 ปี